วิธีการตรวจรับห้องคอนโดฯ
สำหรับ
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากๆ
ถือได้ว่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการซื้อก็ว่าได้
ซึ่งการตรวจรับห้องเราควรจะตรวจเช็คอะไรบ้าง แล้วจะตรวจเช็คอย่างไร
หรือบางท่านอาจจะจ้างผู้เชี่ยวชาญให้มาทำการตรวจรับห้องให้
แต่บางคนไม่อยากเสียค่าใช้ จ่ายในส่วนนี้ ดังนั้นจึงไปตรวจรับเอง
โดยที่ไม่รู้ขั้นตอนและวิธีการตรวจรับที่ถูกต้อง
เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้ซื้อ เราขอนำวิธีการตรวจรับห้องมาฝากกัน
ทำไมเราต้องทำการตรวจสอบห้องก่อนจะเซ็นต์รับ
1. เพื่อให้มั่นใจว่าระบบไฟฟ้าติดตั้งได้มาตรฐาน ทำงานได้อย่างดี และปลอดภัยต่อการใช้งาน
2. เพื่อให้มั่นใจว่าระบบประปา และสุขาภิบาล ทำงานได้อย่างสมบูรณ์
3. เพื่อให้มั่นใจว่างานตกแต่งๆ ติดตั้งได้ครบถ้วนถูกต้อง แข็งแรง และสวยงาม หรือไม่
4. เพื่อให้ทราบจุดบกพร่องต่างๆ และสามารถนำข้อมูลแจ้งให้ผู้ขายทำการแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนการโอนกรรมสิทธิ์
5. เพื่อลดปัญหาการซ่อมงานหลังจากย้ายเข้าไปอยู่แล้ว ซึ่งหากเซ็นต์รับห้องแล้ว อาจจะมีความยุ่งยากในการแก้ไขได้
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมเพื่อตรวจรับห้อง
1.กระดาษ ปากกา ไว้จดรายการซ่อมแซม รวมถึงกระดาษกาว หรือกระดาษสี ใช้สำหรับแปะจุดที่ต้องการแก้ไข
2.สายไฟชาร์จโทรศัพท์ เพื่อทดสอบการจ่ายไฟของเต้าเสียบต่างๆ หรืออาจจะใช้อุปกรณ์อื่นก็ได้ที่สามารถทดสอบการจ่ายไฟ เช่น ไขควงวัดไฟ
3โทรศัพท์บ้าน เพื่อทดสอบการทำงานของสายสัญญาณโทรศัพท์ว่าใช้งานได้หรือไม่
4.ถังน้ำ เพื่อเททดสอบความลาดเอียงของพื้นว่าจะไม่มีน้ำขัง
5.ลูก
แก้ว เพื่อทดสอบความเรียบและความเอียงของพื้น โดยการวางลูกแก้วบนพื้น
ถ้าลูกแก้วไหนไปรวมอยู่ที่เดียวกันแสดงว่าพื้นเป็นหลุมไม่เรียบเสมอกัน
6.ถุงเท้า เพื่อทดสอบพื้นว่าเรียบหรือไม่ โดยการเดินลากเท้าดูว่ามีสะดุด หรือพื้นไม่เรียบตรงจุดไหนบ้าง
7.เหรียญ
บาท เพื่อทดสอบพื้น โดยการเคาะเหรียญดูตามพื้นว่ามีเสียงเหมือนโพรง
หรือช่องว่างใต้พื้นหรือไม่ ถ้ามีแสดงว่าปูนใต้พื้นไม่เต็มพื้นที่
ซึ่งจะมีผลในอนาคต ที่อาจจะเกิดการกะเทาะแตกหรือหลุดออกมาได้
8.ไฟฉาย ไว้ตรวจสอบในพื้นที่ที่แสงเข้าไม่ถึง เช่น ผนังฉาบปูนต้องไม่มีรอยแตก เวลาส่องกับไฟฉายจะต้องไม่เห็นรอยปูดหรือยุบ
9.กล้อง
ถ่ายรูป เพื่อไว้ถ่ายรูปตรงจุดที่ต้องการแก้ไข
และเพื่อเป็นหลักฐานในการตรวจสอบในครั้งต่อไป
ว่าครั้งที่ผ่านมาได้แก้ไขไปแล้วหรือยัง
อะไรบ้างที่เราควรจะตรวจสอบ
1.ตรวจสอบพื้นที่ทั่วไป เช่น ความถูกต้องพื้น, ผนัง, เฟอร์นิเจอร์, ฝ้าเพดาน, ประตู, หน้าต่าง, การทาสี, การติดวอลเปเปอร์
2.ตรวจสอบห้องน้ำ เช่น กระเบื้องพื้น, ผนัง, ฝ้าเพดาน, ประตู-หน้าต่าง, การติดตั้งสุขภัณฑ์, ตู้อาบน้ำ (Shower Box)
3.ตรวจ
สอบห้องครัว เช่น พื้น, ผนัง, ฝ้าเพดาน, ประตู-หน้าต่าง, เคาน์เตอร์ครัว,
อ่างล้างจาน, เตาแก๊ส, เครื่องดูดควัน, ชั้นวางของ, เฟอร์นิเจอร์ Built in
เป็นต้น
4.ตรวจ
สอบระเบียง เช่น , พื้น, ผนัง, ฝ้าเพดาน, ราวระเบียง, การระบายน้ำฝน,
น้ำทิ้งจากเครื่องปรับอากาศ และการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ
5.ตรวจ
สอบระบบสุขาภิบาล เช่น ระบบน้ำดี ,ระบบน้ำเสีย, ระบบน้ำทิ้ง ให้เปิด-ปิด
ก๊อกน้ำทุกหัว ดูว่ามีรั่วซึมหรือไม่ สุขภัฑ์สามารถกดน้ำได้ตามปกติหรือไม่
รวมถึงสายชำระว่าฉีดได้หรือไม่ เป็นต้น
6.ตรวจสอบงานสถาปัตย์ เช่น งานก่อ งานฉาบ ทาสี ปูกระเบื้อง เป็นต้น
7.ตรวจ
สอบระบบไฟฟ้า เช่น ตู้ควบคุมไฟฟ้า, อุปกรณ์ไฟฟ้า, สวิทซ์, ปลั๊ก
และการตรวจสอบระบบการทำงานของเบรกเกอร์ว่าทำงานหรือไม่
โดยส่วนใหญ่เบรกเกอร์ในห้องจะถูกแยกส่วนไว้ ทั้งระบบเต้าเสียบ ระบบเตาไฟฟ้า
ระบบเครื่องทำน้ำอุ่น ระบบ ดวงไฟ เป็นต้น
8.ตรวจสอบหลังคา ระดับฝ้า ความเรียบฝ้า
บทความจาก : aseanliving
บทความอื่นๆน่าสนใจ
-
วิธีการตรวจรับห้องคอนโด อย่างง่าย
-
ทุกวันนี้เราต้องเสียภาษีอะไรกันบ้าง
-
ผ่อนสั้นหรือผ่อนยาว สำหรับซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม อันไหนดีกว่ากัน
-
สวนกระถาง สวนเล็กๆ ในบ้านให้ความสดใสให้กับชีวิต
-
10 ค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมสำหรับการซื้อบ้านและคอนโด
-
ไอเดียแต่งสวนสวยด้วยหญ้าเทียม
-
การเลือกใช้สีตามหลักภูมิปัญญาจีน
-
การตกแต่งสไตล์ minimalist
-
ตกแต่งบ้านหรือคอนโดหลังแรก
-
ตกแต่งคอนโดด้วยสวนแคนตัส
- 7 เคล็ดลับขยายพื้นที่บ้าน ด้วยการตกแต่ง
- ตกแต่งบ้านด้วยสวนในร่ม
- จัดห้องรับแขกในคอนโดให้ถูกหลักฮวงจุ้ย
- ทำความสะอาดห้องครัวในคอนโดให้แจ่ม
- แต่งห้องนั่งเล่นสุดชิคด้วยสติ๊กเกอร์ติดผนัง
- DIY ห้องทานข้าวสีทึมให้ดูสวยสดใส
- เลือกของแต่งคอนโดมิเนียม ตามหลักฮวงจุ้ย
- เคล็ดลับจัดตู้เสื้อผ้าให้เป็นระเบียบ
- หมอนอิงของกินแบบต่างๆ มาเสริมสร้างบรรยากาศในคอนโดมิเนียม
- เลือกทำเลซื้อบ้าน - คอนโด ฯ อย่างไรให้รวย
- แผงปุ่มไม้กะทัดรัด แขวนของได้สารพัด
- 4 เคล็ดลับ ทำให้คอนโดหอมสดชื่น
- 10 วิธี นอนหลับสบายๆ ในคอนโดช่วงหน้าร้อนโดยไม่ต้องเปิดแอร์
- 8 เคล็บลับน่ารู้ ที่ช่วยคุณดูแลรักษาตู้เย็นในคอนโด
- มุมนั่งเล่นในคอนโด ที่จะทำให้เราผ่อนคลาย
- ไอเดียแต่งคอนโด โทนสีขาว
- ไอเดียแต่งคอนโดตามแบบฉบับโมอีเบียน
- ห้องน้ำคอนโดด้วยสีแสงและเฟอร์นิเจอร์
- 30 ไอเดียการตกแต่งมุมคอนโดเป็นออฟฟิศส่วนตัว
การเสียภาษี เป็นหน้าที่ของเราชาวไทย
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายได้ภาครัฐ นำไปบริหารพัฒนาประเทศต่อไป
ความจริงแล้วอาจกล่าวได้ว่า
การเสียภาษีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตประจำของคนไทยได้อย่างกลม
กลืน จนบางครั้งก็เป็นไปโดยไม่ทันสังเกต
โดยปกติแล้ว คนไทยต้องเสียภาษีอะไรกันบ้าง ? ครอบคลุมทั้งเรื่อง
รายได้อาชีพ ,ทรัพย์สมบัติ เช่น รถ , การอุปโภคบริโภค, การลงทุน เช่น
ลงทุนตลาดหุ้น ขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต เป็นต้น รวมไปถึง
การได้รางวัลจากชิ้นส่วนชิงโชค
กระแสกลยุทธ์ทางการตลาดที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งหมดมีรายละเอียด
ดังนี้
1.
ทำมาหากิน ต้องเสียภาษีเงินได้ ไม่ว่าจะประกอบอาชีพในนามบุคคลหรือนิติบุคคล
ล้วนต้องเสีย ภาษีเงินได้ ทั้งนั้น
สำหรับคนไทยทำงานลูกจ้างทั่วไปจะจัดอยู่ในประเภทภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
หากมีเงินได้พึงประเมินเกิน 50,000 บาท (ไม่มีคู่สมรส) หรือเกิน 100,000
บาท (กรณีที่มีคู่สมรส)ในช่วงปีภาษีนั้นๆ ต้องทำการยื่นแบบ ภาษีฯ
ไม่ว่าจะมีภาษีที่ต้องชำระหรือไม่ก็ตาม สำหรับผู้ที่เสียภาษี เกินกว่า
3,000 บาท สามารถยื่นเรื่องขอแบ่งจ่ายชำระ ได้ไม่เกิน 3 งวด
โดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับ แต่ถ้าหาก ลืมจ่ายภาษี จนเลยกำหนดการจ่ายไปแล้ว
เสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ
2.
มีรถขับ ต้องเสียภาษีรถยนต์ เป็นประจำทุกปี
ที่เหล่าผู้เป็นเจ้าของรถทุกประเภท จะต้องดำเนินการ ต่อ พรบ.
และชำระภาษีรถยนต์ โดย พ.ร.บ. เสมือนเป็นการทำประกันภัยภาคบังคับ
ที่จะคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
ซึ่งทางกรมการขนส่งต้องใช้ประกอบในการต่อภาษีรถยนต์ประจำปี
สำหรับอัตราภาษีรถยนต์นั้น จะแตกต่างไปตามประเภทรถ เช่น
จัดเก็บตามความจุกระบอกสูบ (ซีซี) จากรถยนต์ ,จัดเก็บเป็นรายคัน
,จัดเก็บตามน้ำหนักเป็นต้น
3.
พาครอบครัวทานร้านอาหาร ต้องเสียมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%)
หลายคนคงพบเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้แล้ว รู้สึกหงุดหงิดในใจ
เพราะราคาอาหารไม่ได้เป็นไปตามการคาดการณ์ เนื่องจากลืมคำนึงถึง vat 7%
ต้องอธิบายว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax : VAT) คือ
ภาษีที่จัดเก็บจากมูลค่าของสินค้าหรือบริการในแต่ละขั้นตอนของการผลิตและการ
จำหน่ายสินค้าหรือบริการนั้นๆ
โดยผู้ประกอบกิจการจะเป็นผู้เรียกเก็บจากลูกค้า
และนำภาษีมูลค่าเพิ่มไปชำระกรมสรรพากร เรียกง่ายๆว่า ผลักภาระให้ผู้บริโภค
นั้นเอง
เป็นภาษีทางอ้อมที่คนไทยฐานะผู้บริโภคจำต้องรับไว้ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็
ตาม
4.
มีเงินฝากธนาคาร ต้องเสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก
เชื่อว่าหลายคนอาจละเลยภาษีส่วนนี้ไป
เพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากค่อนข้างต่ำ (ออมทรัพย์0.125%-1%
,ฝากประจำ 0.8-2.5%) ซึ่งดอกเบี้ยต่อปีที่ได้รับ แม้รวมทุกธนาคารแล้ว หาก
ไม่ถึง 20,000 บาทต่อปี จะอยู่ในข้อยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี (ส่วนที่เกิน
20,000 บาท จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%) สำหรับข้อยกเว้นดังกล่าว
ยังรวมไปถึงกรณีเงินฝากประจำ ประเภทเงินฝากเผื่อเรียกธ.ออมสินและธกส. ,
เงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์, เงินฝากประจำ 2ปีขึ้นไป ไม่เกิน 600,000 บาท
และเงินฝากประจำมากกว่า 1ปี อายุ 55ปีขึ้นไป ที่ได้รับดอกเบี้ยไม่เกิน
30,000บาท เป็นต้น
5. ลงทุนตลาดหุ้น
ต้องเสียภาษีเงินปันผล
แม้ว่ากำไรจากการขายหรือโอนหุ้นจะได้รับสิทธิยกเว้นเงินได้โดยกฎหมาย
แต่สำหรับ เงินปันผลจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ของเงินปันผลนั้นๆ ทั้งนี้
สำหรับผู้เสียภาษีเงินได้ สามารถใช้สิทธิขอคืนภาษีได้ เรียกว่า
เครดิตภาษีเงินปันผล เป็นการขอคืนเงินภาษีจากการเก็บซ่ำซ้อน
เนื่องจากเงินปันผลที่บริษัทจ่ายให้กับผู้ถือหุ้น
เป็นเงินกำไรสุทธิที่ได้หักจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลไปแล้ว
และเมื่อผู้ถือหุ้นได้รับเงินปันผลก้อนนั้น
ซึ่งถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมิน
จำเป็นต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกครั้ง
จึงกลายเป็นการเสียภาษีซ้ำซ้อนจากกำไรก้อนเดียวกัน
6.
หารายได้เสริม ขายสินค้าทางเน็ต ต้องเสียภาษีเงินได้ (เกิน 1.8 บาทต่อปี
เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม) อธิบายได้ว่า เมื่อไหร่ที่มีรายได้ ย่อมต้องเสีย
ภาษีเงินได้ กรณีขายในนามบุคคลจะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
หากเป็นนามบริษัทจะเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
และสำหรับผู้ขายสินค้าออนไลน์ที่มี รายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม อีกด้วย หมายความว่า
ต้องไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และต้องคิด vat 7%
บวกเพิ่มกับราคาสินค้าที่ขายนั้นๆ ด้วย
7.
ถูกรางวัลชิงโชค ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายทันที (เสียภาษีเงินได้ในปีภาษีนั้น)
เงินรางวัลที่ผู้โชคดีได้รับ จะถูกหักทันที่ ภาษี ณ ที่จ่าย 5%
ของมูลค่าสินค้าหรือเงินรางวัล และเมื่อครบปีภาษีนั้นๆ (เดือนมีนาคม)
เงินรางวัลเหล่านี้จะถูกรวมเข้ากับเงินได้พึงประเมินอื่นๆ เพื่อนำไปคำนวณ
ภาษีเงินได้ ต่อไป ทั้งนี้ หากผู้โชคดีรายนั้น มีผลรวมของ
เงินได้พึ่งประเมินและเงินรางวัล ไม่ถึง 150,000 บาทต่อปี
จะได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ดังนั้น
ผู้โชคดีรายนั้นสามารถขอคืนภาษี 5% ที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย ดังกล่าวได้
8.
ขายบ้าน ต้องเสียภาษีจากการขายอสังหา เมื่อขายบ้านหรืออสังหาฯใดก็ตาม
จะต้องเสีย ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
โดยพิจารณาจากราคาประเมินและจำนวนปีที่ถือครอง นอกจากนี้ยังมี
ค่าอากรแสตมป์ 0.5% ที่ผู้ขายต้องเสียในขั้นตอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ,
ค่าธรรมเนียมการโอน 2% ทุกครั้งที่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ และ
กรณีผู้ขายครอบครองอสังหาริมทรัพย์น้อยกว่า 5 ปี จะต้องเสีย
ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% จากราคาประเมินหรือราคาตลาดที่สูงกว่า
ล่าสุดเมื่อปลายปี 57 ก็ยังมีกระแสจัดเก็บ ภาษีมรดก ที่ว่า
ภาษีมรดกจะจัดเก็บจากผู้ที่ได้รับมรดกจากผู้ตาย ที่เกิน 50 ลบ. ขึ้นไป
ในอัตรา 10% และการโอนมรดกช่วงย้อนหลังไป 5 ปีก่อนครั้งล่าสุด
ระหว่างที่ผู้ให้ยังไม่ตาย เรียกว่า “ภาษีการรับให้” ที่เกิน 10 ลบ. ขึ้นไป
ในอัตรา 10% ซึ่งยังคงต้องติดตามกันต่อไป
บทความจาก : terrabkk
บทความอื่นๆน่าสนใจ
-
ทุกวันนี้เราต้องเสียภาษีอะไรกันบ้าง
-
ผ่อนสั้นหรือผ่อนยาว สำหรับซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม อันไหนดีกว่ากัน
-
สวนกระถาง สวนเล็กๆ ในบ้านให้ความสดใสให้กับชีวิต
-
10 ค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมสำหรับการซื้อบ้านและคอนโด
-
ไอเดียแต่งสวนสวยด้วยหญ้าเทียม
-
การเลือกใช้สีตามหลักภูมิปัญญาจีน
-
การตกแต่งสไตล์ minimalist
-
ตกแต่งบ้านหรือคอนโดหลังแรก
-
ตกแต่งคอนโดด้วยสวนแคนตัส
- 7 เคล็ดลับขยายพื้นที่บ้าน ด้วยการตกแต่ง
- ตกแต่งบ้านด้วยสวนในร่ม
- จัดห้องรับแขกในคอนโดให้ถูกหลักฮวงจุ้ย
- ทำความสะอาดห้องครัวในคอนโดให้แจ่ม
- แต่งห้องนั่งเล่นสุดชิคด้วยสติ๊กเกอร์ติดผนัง
- DIY ห้องทานข้าวสีทึมให้ดูสวยสดใส
- เลือกของแต่งคอนโดมิเนียม ตามหลักฮวงจุ้ย
- เคล็ดลับจัดตู้เสื้อผ้าให้เป็นระเบียบ
- หมอนอิงของกินแบบต่างๆ มาเสริมสร้างบรรยากาศในคอนโดมิเนียม
- เลือกทำเลซื้อบ้าน - คอนโด ฯ อย่างไรให้รวย
- แผงปุ่มไม้กะทัดรัด แขวนของได้สารพัด
- 4 เคล็ดลับ ทำให้คอนโดหอมสดชื่น
- 10 วิธี นอนหลับสบายๆ ในคอนโดช่วงหน้าร้อนโดยไม่ต้องเปิดแอร์
- 8 เคล็บลับน่ารู้ ที่ช่วยคุณดูแลรักษาตู้เย็นในคอนโด
- มุมนั่งเล่นในคอนโด ที่จะทำให้เราผ่อนคลาย
- ไอเดียแต่งคอนโด โทนสีขาว
- ไอเดียแต่งคอนโดตามแบบฉบับโมอีเบียน
- ห้องน้ำคอนโดด้วยสีแสงและเฟอร์นิเจอร์
- 30 ไอเดียการตกแต่งมุมคอนโดเป็นออฟฟิศส่วนตัว